27.7.53

คุณครูที่ดีที่สุดในโลกของฉัน ...



ชีวิตเราพบเจอผู้คนมากมาย

ความรัก ความเมตตา จากเรา

 อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของ"ใคร"สักคน ..

24.7.53

Matchbox Illusion ...

ความเหมือนที่แตกต่าง..
การมองในภาพ ในมุมที่ต่าง
สิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่ใช้สิ่งที่เราเห็น...

22.7.53

ความอยากรู้อยากลอง ...

 .
งานวิจัยพบว่าความอยากรู้อยากลองของวัยรุ่นทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะติดยาเสพย์ติด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์..

หรือการมีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายได้มาก กว่ากลุ่มคนวัยอื่นๆ

งานวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากผู้ชายจำนวน 86 คนที่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ พบว่าวัยรุ่นมักรู้สึกสนุกสนานกับสถานการณ์เสี่ยงของเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเด็กที่มีอายุ 14 ปี..

นักจิตประสาทวิทยาจาก มหาวิทยาลัยลอนดอนกล่าวว่า การมีพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นไม่ใช่ปัญหาที่สามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า เนื่องจากในเด็กวัยรุ่นนั้นสมองยังคงมีการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบสมองที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจและภาคภูมิใจในตัวเอง

การเข้าใจวัยรุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครอบครัวควรให้ความใส่ใจ...


18.7.53

พลังสมาธิ (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) ...

.
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวก่อนตายว่า..

"พลังสมาธิเป็นพลังที่มีอำนาจที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในโลก"


 
-ทำสมาธิเพียง 45 นาที จะเกิดกระแสไฟฟ้าในร่างกายสูงกว่าค่าที่วัด ได้จากคลื่นหัวใจ (EKG) 10,000 เท่า สูงกว่าค่าคลื่นสมอง 100,000 เท่า

-คลื่นแสง (ซึ่งมีอนุภาค phyton) มีความเร็ว 300,000 กม./วินาที เคยชื่อกันว่ามีความเร็วสูงสุดในโลก แต่ปัจจุบันเชื่อว่า คลื่นสมองขณะมีสมาธิเร็วกว่าแสง เพราะมีอนุภาพ trachyon เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงเพราะอนุภาคนี้เป็นกลาง (ไม่มีประจุไฟฟ้า) ผ่านสนามแม่เหล็กได้โดยไม่ ถูกรบกวน

-ขณะที่ท่านวาดภาพ หรือ เขียนหนังสือด้วยสมาธิจิต พลังสมาธิจะเป็น พลังงานสถิต อยู่ในนั้นได้นานแสนนาน เช่น ตรวจพบพลังงานสถิตบน ภาพวาดของลีโอนาโด ดาวินชี่ แม้เวลาผ่านไปเป็นศตวรรษแล้วก็ตาม


 
-พลังสมาธิเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาสมบัติทางธรรมชาติที่มี อยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับสุขภาพ ความสงบเย็นเป็นสุข ความเจริญรุ่งเรือง และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ตามที่เราปรารถนาได้อย่างมหัศจรรย์...

14.7.53

คำพูดดีๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่ ...

หลายคนมักพูด ว่า “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” แต่บางคนก็มัวแต่กระทำจนละเลยคำพูดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ก็อยากได้ยินลูกบอกรัก อยากให้ลูกกอด หอม หรือมีแต่คำพูดดีๆ แต่ในทางกลับกันคนเป็นลูกเองก็ไม่ได้มีความต้องการที่แตกต่างจากพ่อแม่ เท่าใดนัก
      
       ทั้งนี้ นอกจากอวัจนภาษา เช่น การกอด หอม ฯลฯ ที่ทุกคนรับรู้ว่าเป็นการแสดงออกเพื่อความรักแล้ว วัจนภาษาก็ไม่ควรมองข้ามไปเช่นกัน พ่อแม่ทุกคนจึงพยายามที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและพูดแต่ สิ่งดีๆกับลูก โดยน้อยคนนักที่จะพูดจาสบถกับลูก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ มันคือสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อและแม่แน่นอน
      
       ดังนั้น ลองมาดูกันว่า 10 คำพูดดีๆที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่นั้นมีอะไรกันบ้าง 

       1. พ่อกับแม่ “รัก” ลูกมากนะ      
       แน่นอนว่าลูกคือดวงใจของพ่อแม่ แต่การที่ละเลยคำพูดง่ายๆและมีค่าขนาดนี้มันก็เป็นสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่พอ ควร เพราะคนหลายคนไม่มีโอกาสที่จะบอกรักลูกในวินาทีสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันไม่ว่าจะเป็นลูก หรือ พ่อแม่ รวมไปถึงคนทุกคน ก็ควรให้ความสำคัญกับความรักและคำพูดไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่พ่อแม่จะไม่มีลูกให้บอกรัก หรือลูกบอกรักในวันที่สายเกินไป
      
       ทั้งนี้ อย่ามัวแต่แสดงความรัก และเชื่อว่าลูกรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน เพราะบางเวลาคำพูดก็สำคัญไม่แพ้การกระทำเช่นกัน ดังนั้นบอกรักลูกบ้าง เขาจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว พ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน
      
       2.พ่อกับแม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูกมากนะ      
       มันอาจมีบางอย่างที่ลูกขทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจมากป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเป็นสุภาพบุรษ มีน้ำใจ หรือแสดงความสามารถพิเศษให้เห็นอยู่เสมอ
      
       พ่อแม่ทุกคนควรลองนึกดูดีๆว่า จุดเด่นของลูกคืออะไร แล้วสิ่งใดที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา ก็ใช้ช่วงเวลาดีๆบอกให้ลูกได้รับรู้บ้างว่า “พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน” เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำนี้มันจะเปลี่ยนเป็นพลังและกำลังใจให้ลูกได้อย่าง มหัศจรรย์ทีเดียว
      
       3.พ่อกับแม่ “สนับสนุน” ลูกเสมอนะ      
       พ่อแม่ทุกคนควรตระหนักอยู่เสมอว่า “ลูกไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ลูก” เพราะฉะนั้นอย่าเอาลูกไปเปรียบเทียบกับตัวเองสมัยเด็กๆ บางอย่างที่พ่อแม่ชอบ ลูกอาจไม่ชอบ มุมมองที่ต่างกัน ถ้าไม่เข้าใจกันก็ทำให้มีปัญหากันได้ และถ้าหากเด็กบางคนถูกบังคับมากๆก็จะรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็นส่วนตัว ไร้อิสระ ท้อแท้ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ขณะที่บางคนโตมาในครอบครัวนักกฎหมาย แต่ต้องการเป็นนักเขียน หรือบางคนมีความต้องการใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็น
      
       ไม่ว่าเขาจะเลือกเป็นอย่างไร หากสิ่งที่เขาตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ก็ควรสนับสนุนพวกเขา เพียงแค่บอกว่า "พ่อกับแม่ยังคงเข้าใจและสนับสนุนลูกทุกเมื่อ ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีและลูกต้องการ"
      
       4. พ่อกับแม่ “เชื่อมั่น” ในตัวลูกเสมอนะ      
       ช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างอาจเข้ามาจนพ่อแม่ตั้งตัวไม่ติด ลูกอาจสูญเสียความมั่นใจในการตัดสินใจหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากใครเคยเจอปัญหาลูกอยู่ในช่วงสับสนแบบนี้
      
       ลองถามตัวเองดูว่า เคยสละเวลาบอกลูกบ้างหรือไม่ว่า “พ่อกับแม่เชื่อมั่นในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อและแม่ก็จะอยู่ข้างลูกเสมอ”


       5. พ่อกับแม่ “ขอโทษ”
      
      
       บางครั้งการขอโทษมันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะพูด แล้วยิ่งคนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับความเป็นพ่อและแม่ค่อนข้างสูง
      
       ดังนั้น หากพ่อแม่ทำผิดก็จะคิดกันแต่เพียงว่า พ่อแม่ไม่ควรที่จะขอโทษลูก ยิ่งคนเป็นพ่อด้วยแล้ว อาจจะยากขึ้นไปอีกที่จะกล่าวคำว่า “ขอโทษ” กับลูก

      
       อย่างไรก็ดี คำขอโทษจากพ่อแม่นั้น ลูกๆเองก็ควรมีเหตุผลและรู้จักบาปบุญคุณโทษด้วย เพราะลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นเสียงหรืออกคำสั่งกับพ่อแม่ไม่ว่าจะประการใดก็ ตาม
      
       ทั้งนี้ การที่พ่อแม่กล่าวคำขอโทษกับลูกเมื่อทำผิดพลาดนั้นไม่ได้หมายความว่า ลูกจะดูถูกความเป็นพ่อเป็นแม่ ในทางกลับกันการที่พ่อแม่ยอมรับและกล้าขอโทษนั้น มันยังทำให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองเพราะกล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำ ลงไป อีกทั้งยังเคารพความรู้สึกของผู้อื่นด้วย
6. ลูกเป็น “เด็กดี” ของพ่อกับแม่      
       พ่อแม่ทุกคนควรทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อนว่า เด็กทุกคนอยากได้รับคำชมเชยและได้ยินคำยืนยันจากพ่อแม่อีกสักครั้งว่า เขาเป็นลูกที่ดีพอหรือไม่
      
       ดังนั้นหากลูกเป็นเด็กดี มีน้ำใจ น่ารักกับทุกคน พ่อแม่ก็ควรชมเชยลูกบ้างว่า "ลูกเป็นเด็กดีของพ่อและแม่มากเพราะการที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันจะทำให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีใน ครอบครัวอีกด้วย
      
       7. แม้เลิกกัน แต่ลูกไม่ต้องเลือกรัก
      
       ข้อนี้จะดีสำหรับครอบครัวที่พ่อแม่มีเหตุที่ต้องเลิกลากันไป ทำให้เด็กตกอยู่ในภาวะสับสน เลือกว่าจะต้องอยู่กับใคร ซึ่งในระหว่างช่วงเวลาสับสนกับการเลือกฝั่งของพ่อและแม่แล้ว ลูกบางคนที่ตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้นอาจจะต้องเลือกด้วยว่าจะรักใคร ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะกีดกันลูกไม่ให้เด็กพบอีกฝ่ายหนึ่งเช่น
      
       หากลูกอยู่กับแม่ แม่มักจะสอนให้รักแม่ แต่เกลียดพ่อ หรือหากอยู่กับพ่อก็ต้องรักพ่อและเกลียดแม่เป็นต้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ แม้ในที่สุดจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ควรบังคับลูกให้รักใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังไงพ่อกับแม่ก็คือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
 

       8. พ่อกับแม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น
      
       เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นมากเท่าไหร่ เขายิ่งต้องการการยอมรับจากพ่อและแม่มากขึ้นเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วลูกมักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ยอมรับในตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินใจในความรักวัยเด็ก หรือการกระทำต่างๆ ที่ลูกอาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน แม้พ่อแม่จะอยู่คอยดูอยู่ห่างๆ
      
       และการที่ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น และเลือกแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ละเลยแต่อย่างใด อีกทั้งยังคงรักและเข้าใจอยู่เสมอด้วย เพียงแค่พ่อแม่บอกกับลูกว่า “พ่อแม่เข้าใจและยอมรับลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม”
      
       9. พ่อกับแม่ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”...นะลูก
      
       บางครั้งพ่อแม่อาจจะพูดอะไรบางอย่างที่ลูกฟังแล้วรู้สึกเสียใจกับคำพูดเหล่า นั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่อาจพูดไปโดยที่ไม่ได้คิดว่าลูกจะเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป
      
       ดังนั้น หากพ่อแม่ทราบว่าลูกเสียใจกับสิ่งที่ๆได้พูดออกไป ก็ควรอธิบายให้เขาเข้าใจว่า หมายความว่าอย่างไรกันแน่ อย่าให้ลูกเข้าใจผิดๆ แต่ทางที่ดีก็ควรพูดจาให้ชัดเจนตั้งแต่แรกจะดีกว่า
      
       10. ลูกคือ “คนสำคัญ” ของพ่อกับแม่นะ
      
       จริงๆ แล้ว ข้อนี้อาจเป็นคำที่สำคัญอันดับแรกๆเสียด้วยซ้ำ เมื่อในความเป็นจริงแล้ว ลูก คือคนสำคัญและคนพิเศษสำหรับพ่อแม่
      
       แต่จะมีสักกี่ครั้งที่พ่อแม่ได้บอกให้ลูกรับรู้จากปากของพ่อแม่เองบ้าง เชื่อเถอะว่าหากได้พูดให้ลูกรู้ สิ่งที่จะได้กลับมานั้นมันย่อมมีค่ามหาศาลมากกว่าเป็นไหนๆ เพราะนั่นคือสายใยความรักระหว่างพ่อ แม่ และลูก
       ทั้งนี้พ่อแม่ทุกคนควรกอดลูกบ้างโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น อย่าให้วัยที่เปลี่ยนไปมาทำให้ระยะห่างพ่อ แม่ ลูกห่างกันจนรู้สึกว่าการกอดนั้นเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นการกอดลูกแน่นๆและบอกว่าเขาสำคัญมากแค่ไหน แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่มันจะเป็นความทรงจำที่คนเป็นพ่อ แม่ และลูกจะไม่มีวันลืมได้เลย
      
       อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นประโยคธรรมดา จนหลายคนมองข้ามมันไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้เลย แม้การกระทำจะสำคัญมาก เพียงใด แต่คำพูดก็ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่า อย่าลืมว่าในขณะที่พ่อแม่ต้องการได้ยินลูกบอกรัก เขาก็อยากได้ยินจากคุณเช่นกัน

12.7.53

โลกอีก 70 ปีข้างหน้า ใต้แนวคิดนักวิทยาศาสตร์ ...

ในทศวรรษที่ผ่านมามี เหตุการณ์ร้าย ๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับโลกทั้ง ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อย่างเช่น แผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ คร่าชีวิตมนุษย์หลายแสนคนในเอเชีย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์อย่างการก่อการร้ายด้วยการจี้ เครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดในนิวยอร์ก ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์หลายพันคนเสียชีวิต
วันสิ้นโลก

โลกจะอวสานอย่างไร บ้างเชื่อว่าโลกจะถึงกาลอวสานแบบไม่ทันตั้งตัว บ้างทำนายว่าชีวิตบนโลกจะตายอย่างช้าๆ ขณะที่พวกมองโลกแง่ดีหน่อยเชื่อว่า ถึงอย่างไรก็คงหาทางเอาชนะปัญหาได้โดยวิวัฒนาการไปสู่สายพันธุ์อื่นๆ

เซอร์มาร์ติน รีส์ ศาสตราจารย์ด้านจักรวาลวิทยา นักดาราศาสตร์ประจำราชสำนัก และยังเป็นนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นผู้ประพันธ์เรื่อง Our Final Century ด้วย เขาให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกังวลใจของมนุษย์ในเรื่องนี้ว่า มนุษย์มีโอกาส 50-50 ที่จะผ่านศตวรรษที่ 21 ไปโดยไม่มี ภยันอัตรายใดๆ มาแผ้วพาน

"หายนะทางธรรมชาติบางอย่าง เช่น แผ่นดินไหว อุกกาบาตพุ่งชนโลก ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนที่เป็นมา ขณะที่ภัยคุกคามอื่นๆ อันเป็นผลจากโลกาภิวัตน์เริ่มหนักหน่วงขึ้น แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาภัยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยเช่นกัน" เซอร์มาร์ตินกล่าว

ถ้าเป็นเช่นนั้น ภัยร้ายแรงที่สุดที่คุกคามมนุษยชาติคืออะไร แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่ ต่อไปนี้เป็นการสอบถามความคิดเห็นของ 10 นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายที่น่ากลัวที่สุดเขาคิดว่าจะเกิด ขึ้นกับโลก และสังคมจะได้รับผลกระทบอย่างไร ต่อมาจะเป็นการประเมินภัยคุกคามเป็นสองแนวทาง

อันดับแรกเป็นโอกาสที่จะเกิดภัย คุกคามในช่วงอายุขัยของเรา (ในช่วง 70 ปี ข้างหน้า) และประการที่สอง เป็นระดับอันตรายที่จะมีผลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์หากเกิดหายนะภัยขึ้นมา (คะแนนเต็ม 10 หมายถึงระดับที่ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ลงมาจนถึงระดับ 1 หมายถึงแทบจะไม่มีผลกระทบต่อการ ดำรงอยู่ของมนุษย์เลย
1.       การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ นิค บรูค ผู้ช่วยวิจัยอาวุโสจากศูนย์วิจัยสภาพเปลี่ยนแปลงของอากาศไทนดัล ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยอีสต์แองเจียล สหราชอาณาจักรอังกฤษ ให้ความเห็นว่า


"ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ปัญหาภาวะเรือนกระจกจะทวีความรุนแรงขึ้น และอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย อากาศร้อนระดับนี้ถือว่าสูงกว่าที่โลกเคยเผชิญเมื่อหนึ่งล้านห้าแสนปีก่อน สิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นอาจทำให้อากาศในหลายภูมิภาคของโลกเปลี่ยน แปลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรโลก


และทำให้ระบบสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พังทลายไปทั่ว ตามมาด้วยการอพยพของผู้คนจำนวนมหาศาล และเกิดปัญหาขัดแย้งจากการแย่งชิงทรัพยากร เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะกับการดำรงชีวิตของมนุษย์จะเริ่มเหลือน้อยลง ผมไม่คิดว่า อากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ไปหรอกนะ แต่แน่นอนว่ามันจะทำให้เกิดการสูญเสียอย่างหนัก"


- โอกาสที่อุณหภูมิจะสูงขึ้น มากกว่า 2 องศาเซลเซียสในอีก 70 ปี (เป็นระดับที่พิจารณาว่าเป็นอันตราย ต่อสหภาพยุโรป) : เป็นไปได้สูง


- ระดับอันตราย : 6

2.       การเสื่อมสภาพของเทโลเมียร์ เรนฮาร์ด สตินด์ล แพทย์จากมหาวิทยาลัยเวียนนา บอกว่าสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์มี "นาฬิกาแห่งวิวัฒนาการ" อยู่ในตัวเวลาของนาฬิกาชีวภาพนี้จะเดินผ่านจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นการเดินถอยหลังจนถึงเวลาที่นำไปสู่ยุคสูญพันธุ์อย่างเลี่ยงไม่ได้


"เทโลเมียร์สเป็นส่วนปลายที่ปิด โครโมโซมมีอยู่ในสัตว์ทุกตัว ถ้าไม่มีเทโลเมียร์สแล้ว โครโมโซมอาจไม่มั่นคง แต่ละครั้งที่เซลล์แบ่งตัวมันจะไม่ก๊อบเทโลเมียร์สอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และตลอดชั่วอายุของเราเทโลเมียร์สจะหดสั้นลง สั้นลง เนื่องจากเซลล์เพิ่มจำนวนตัวเอง ในที่สุดแล้ว เมื่อมันหดสั้นจู๋ เราก็เริ่มมีโรคที่เกี่ยวกับชราภาพมาคุกคาม อย่างเช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองตีบ


"อย่างไรก็ดี การหดสั้นของเทโลเมียร์สไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เรามีชีวิตอยู่จนตาย เท่านั้น แต่ทฤษฎีของผมคือ ความยาวของเทโลเมียร์สที่ส่งผ่านจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งก็ยังมีขนาด หดสั้นลงด้วยเช่นกัน


สะท้อนถึงกระบวนการชราภาพของแต่ละคน และเมื่อเทโลเมียร์สถูกส่งผ่านมาเป็นพันรุ่นมันจะเริ่มกร่อนจนถึงระดับ วิกฤติ เมื่อถึงวันนั้นเราจะพบว่าโรคที่เกี่ยวกับคนชราจะระบาดไปทั่วตั้งแต่อายุยัง น้อย จนสุดท้ายจะทำให้เกิดภาวะประชากรขาดแคลน การกร่อนของเทโลเมียร์สอาจใช้อธิบายการสูญพันธุ์ของมนุษย์บางสายพันธุ์ได้ อาทิ นีแอนเดอร์ธัล โดยไม่ต้องเอาปัจจัยภายนอกอย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมาพิจารณา"


โอกาสที่จะเกิดภาวะประชากรลดลงอย่างรวด เร็วในช่วง 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อย


ระดับอันตราย : 8

3.       การระบาดของเชื้อไวรัส ศาสตราจารย์มาเรีย แซมบอน นักไวรัสวิทยาและหัวหน้าห้องปฏิบัติการเชื้อไข้หวัดใหญ่ของสำนักงานป้องกัน สุขภาพแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ มองว่า "เมื่อปลายศตวรรษก่อน เกิดการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรง 4 รอบ พร้อมกับการระบาดของเชื้อเอชไอวีและซาร์ส การระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกจะเกิดขึ้นทุกรอบร้อยปี และคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอย่างน้อยอีกครั้งในอนาคต ณ ขณะนี้


เชื้อที่สร้างความหวาดวิตกมากที่สุดคือ เชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 ที่ระบาดในไก่ อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าไวรัสตัวนี้เรียนรู้วิธีการส่งเชื้อจากคนสู่คนแล้ว การระบาดจะแพร่ลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี ค.ศ. 1918 ได้คร่าชีวิตประชากรโลกไปแล้ว 20 ล้าน คน ภายในปีเดียว มากกว่าคนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำไป หากเกิดการระบาดอีกครั้งตอนนี้ก็คงส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่า"


"ไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่ว่าจะฆ่า ทุกชีวิตที่มันเข้าไปอาศัยอยู่ ดังนั้น จึงไม่สามารถทำลายมนุษย์จนสูญพันธุ์ แต่มันจะส่งผลกระทบรุนแรงเป็นเวลาหลายปีทีเดียว เราไม่สามารถเตรียมตัวได้อย่างสมบูรณ์เพื่อรับมือกับผลที่เกิดจากน้ำมือ ธรรมชาติ โดยเนื้อแท้แล้ว ธรรมชาติเป็นผู้ก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพตัวจริง"


โอกาสที่จะเกิดการระบาดของไวรัสในอีก 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูง


ระดับอันตราย :3

4.       การก่อการร้าย ศาสตราจารย์พอล วิลคินสัน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาประจำศูนย์ศึกษาการก่อการร้าย และความรุนแรงด้านการเมือง มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ สหราชอาณาจักร ให้ทัศนะว่า


"สังคมทุกวันนี้มีความเสี่ยงต่อ การก่อการร้ายมากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มที่อาฆาตมาดร้ายสามารถหาวัสดุที่จะนำมาใช้ก่อการได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีและความวชาญในการสร้างอาวุธทำลายสูง การก่อการร้ายที่ส่งผลให้เกิดการล้มตายเป็นจำนวนมากในปัจจุบันคืออาวุธ ชีวภาพ และอาวุธเคมี การปล่อยเชื้อบางอย่างเป็นจำนวนมากๆ อย่างเช่น แอนแทรกซ์ ไวรัสฝีดาษ อาจส่งผลกระทบอย่างมหาศาล และการติดต่อสื่อสารระหว่างพรมแดนในยุคใหม่จะทำให้กลายเป็นปัญหาระหว่าง ประเทศได้อย่างรวดเร็ว


"ในสังคมเปิดซึ่งเราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เราไม่สามารถจะหยุดยั้งการจู่โจมได้เลย และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดการโจมตีขึ้นสักแห่งในโลกในชั่วอายุของ เรานี้"


โอกาสที่จะเกิดการโจมตีด้วยการก่อการ ร้ายครั้งใหญ่ในช่วง 70 ปีหน้า : เป็นไปได้สูงมาก


ระดับอันตราย : 2

5.       สงครามนิวเคลียร์ พล อากาศเอกลอร์ด การ์เดน โฆษกกระทรวงกลาโหมประจำพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งสหราชอาณาจักร และผู้แต่งหนังสือเรื่อง Can Deterrence Last ?

"ในเชิงทฤษฎีแล้ว สงครามนิวเคลียร์อาจทำลายความรุ่งเรืองของมนุษย์ แต่ในทางปฏิบัติ ผมคิดว่าอันตรายดังกล่าวอาจผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบัน มีจุดที่อาจก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ ตะวันออกกลาง อินเดีย-ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ แน่นอนว่าเกาหลีเหนือเป็นจุดที่น่าวิตกมากที่สุด

เนื่องจากมีกองทัพรูปแบบเก่าพร้อมจะลั่นไกก่อ สงครามได้โดยไม่ตั้งใจ แต่ผมอยากที่จะเชื่อว่ายังมีอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์อยู่ เนื่องจากเราได้พัฒนาระบบระหว่างประเทศที่ยับยั้งการใช้อาวุธนิวเคลียร์

"ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ ในระดับโลกนั้นต่ำมาก แม้ว่ายังมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีประเทศนอกคอก หรือพวกหัวรุนแรงอยู่ก็ตาม"

- โอกาสที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้ต่ำ

- ระดับอันตราย : 8
6.       อุกกาบาตชนโลก โด นัลด์ เยาแมนส์ ผู้จัดการสำนักงานโครงการวัตถุใกล้โลกของนาซา จากห้องปฏิบัติการระบบขับเคลื่อนไอพ่นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ มีความเห็นว่า "ความ เสี่ยงที่เราจะตายจากอุกกาบาตพุ่งชนเปรียบคร่าวๆ เหมือนกับโอกาสที่เราจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก อุกกาบาตที่จะทำให้ความรุ่งเรืองของมนุษย์ต้องสูญสิ้นนั้นต้องเป็นอุกกาบาต ที่มีขนาดกว้าง หรือยาวประมาณ

เราคาดกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้น ได้ทุกล้านปีโดยเฉลี่ย อันตรายที่เกี่ยวข้องกับอุกกาบาตชนโลกนั้นรวมถึงปริมาณฝุ่นจำนวนมหาศาลที่ ลอยขึ้นไปในอวกาศจนปิดกั้นไม่ให้แสงแดดส่องลงมาบนพื้นโลกนานหลายสัปดาห์ ซึ่งจะมีผลต่อต้นไม้และพืชไร่ ที่ค้ำจุนสิ่งมีชีวิต


อาจจะ เกิดไฟไหม้ทั่วโลกอันเป็นผลมาจากความร้อนพุ่งออกมาจากใต้พื้นโลก และยังเกิดฝนกรดที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก ผลกระทบดังที่เอ่ยมานี้แม้จะเกิดในช่วงระยะเวลาสั้น ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเองได้ดีที่สุดอย่างแมลงสาป และมนุษย์ เป็นต้น ยังมีชีวิตอยู่รอดได้"


- โอกาสที่โลกจะถูกอุกกาบาตพุ่งชนใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้ปานกลาง


- ระดับอันตราย : 5
7. หุ่นยนต์ครองโลก ฮันส์ โมราเวก ศาสตราจารย์จากสถาบันหุ่นยนต์ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ในเมืองพิตต์สเบิร์ก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ระบบการควบคุมด้วยหุ่นยนต์ มีความสลับซับซ้อนในการประมวลผลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกปี หรือทุกสองปี แต่ความซับซ้อนของมันตอนนี้ยังอยู่ในระดับแค่สัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ แต่ในอีก 50 ปีข้างหน้าความสามารถในการคิดซับซ้อน ของหุ่นยนต์จะไล่ตามทันมนุษย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ผม ทำนายว่า จะมีหุ่นยนต์ที่มีพลังสมองทัดเทียมมนุษย์ โดยจะสามารถคิดในเชิงนามธรรม และแสดงความเห็นได้

"เครื่องจักรที่มีสติปัญญาเหล่านี้เราจะเป็นคนเลี้ยง ดู และมันจะเรียนรู้ทักษะของเรา รับรู้เป้าหมายและคุณค่าของเรา และเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ หุ่นยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ดูแลเราในบ้านเท่านั้น


แต่ยังสามารถทำงานที่ซับซ้อนที่ปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัย ความสามารถของมนุษย์ เช่น การวินิจฉัยโรค และการให้คำแนะนำในการรักษา หรือบำบัด หุ่นยนต์จะเป็นทายาทสืบทอดของมนุษย์ และจะเสนอโอกาสที่ดีที่สุดให้เรากลายเป็นอมตะได้โดยการถ่ายโอนข้อมูลของตัว เราเองไปใส่ไว้ในหุ่นยนต์ที่มีความสามารถล้ำหน้า"


- โอกาสที่จะมีหุ่นยนต์ที่มีความสามารถทางปัญญาเป็น เลิศใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูง


- ระดับอันตราย : 8

8.       แรงระเบิดจากรังสีคอสมิกจากการระเบิดของดาว เนียร์ ชาวีฟ อาจารย์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฮิบรู ในเยรูซาเล็ม อิสราเอล กล่าวว่า ทุกสองสามทศวรรษ ดาวขนาดใหญ่ที่อยู่ในจักรวาลทางช้างเผือกจะหมดพลังงานและเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า ซูเปอรโนวา รังสีคอสมิก (อนุภาคพลังงานระดับสูงอย่าง รังสีแกมมา) จะแผ่รังสีออกไปทุกทิศทาง

ฃและถ้าโลกอยู่ในวิถีของรังสี จะทำให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้น ถ้าโลกมีอากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้ว รังสีคอสมิกจากการระเบิดของดาวอาจทำให้โลกกลายเป็นไอติม และอาจทำให้สัตว์สายพันธุ์ต่างๆ สูญพันธุ์ โลกมีความเสี่ยงสูงเมื่อโคจรผ่านเกลียวของดาราจักรทางช้างเผือก ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดซูเปอร์โนวามากที่สุด การระเบิดซูเปอร์โนวาจะเกิดขึ้นทุก 150 ล้านปี

ดัชนีบ่งชี้สภาพอากาศยุคบรรพกาลแสดงให้ เห็นว่าโลกเคยผ่านยุคน้ำแข็งมาแล้ว โดยพบน้ำแข็งจำนวนมากที่ขั้วโลก และน้ำแข็งหลายชิ้นมีอายุอยู่ในช่วงดังกล่าว

"เราใกล้จะโคจรออกจากเกลียวแขนซา กิตทาริอุส-คารินาของดาราจักรทางช้างเผือก และโลกควรมีสภาพอากาศร้อนขึ้นในสองสามล้านปี แต่ในอีก 60 ล้านปี เราจะเขาไปสู่เกลียวแขนเพอร์ซีอุส ยุคน้ำแข็งก็จะกลับมาอีกครั้ง"

- โอกาสที่โลกจะเผชิญกับซูเปอร์โน วาใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อย

- ระดับอันตราย : 4

9.       ภูเขาไฟระเบิด ศาสตราจารย์ บิล แมคกุยรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติเบนฟิลด์จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน และยังเป็นสมาชิกคณะทำงานศึกษาภัยธรรมชาติของโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พูดถึงเรื่องนี้ว่า "โดยเฉลี่ยแล้วทุก 50,000 ปี โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง

ซึ่งจะส่งเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ถูกพ่นออกมาจะปกคลุมพื้นที่ ราว 1,000 ตารางกิโลเมตร ทวีปที่อยู่ใกล้เคียง จะเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน และก๊าซซัลเฟอร์จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นม่านกรดซัลฟูริกคลุมรอบโลก ทำให้แสงแดดไม่สามารถส่องลงมายังพื้นโลกได้ กลางวันจะดูไม่ต่างไปจากกลางคืนวันเพ็ญ

"ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ขึ้นอยู่ว่าเกิดขึ้นที่ไหน และก๊าซลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศนานแค่ไหน เมื่อประมาณ 26,500 ปีมาแล้ว ภูเขาไฟเตาโปของนิวซีแลนด์เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง

ทว่าความเสียหายครั้งสำคัญจากภูเขาไฟ ระเบิดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คือภูเขาไฟ โทบา บนเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อ 74,000 ปีก่อน เนื่องจากเกิดระเบิดใกล้กับเส้นศูนย์สูตรทำให้ก๊าซกระจายไปยังซีกโลกเหนือ และใต้อย่างรวดเร็ว เมื่อศึกษาแกนน้ำแข็งทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว 5-6 ปีหลังจากนั้น โดยพื้นที่แถบเส้นทรอปิคมีสภาพเย็นเป็นน้ำแข็ง

"โอกาสที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิด ครั้งใหญ่เป็นไปได้มากกว่าอุกกาบาตขนาดใหญ่ชนโลก 12 เท่า แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในชั่วอายุคนปัจจุบันนี้มีเพียง 0.15% ส่วนสถานที่ที่ควรจับตาดูคือ บริเวณที่เคยเกิดระเบิดในอดีต เช่น เยลโล่สโตน ในสหรัฐ และโทบา แต่พื้นที่บริเวณอื่นในโลกที่น่ากังวลมากกว่าคือ อาจเกิดภูเขาไฟระเบิดรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างเช่นบริเวณป่าฝนอะเมซอน"

- ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภูเขาไฟ ระเบิดรุนแรงใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้สูงมาก

- ระดับอันตราย : 7

10.   โลกจะถูกหลุมดำดูด ริชาร์ด วิลสัน ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์จากศูนย์วิจัยมัลลินก์ครอดต์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ประมาณ 7 ปีก่อน ห้องปฏิบัติการแห่งชาติบรูคเฮฟเวนในนิวยอร์กได้สร้างเครื่องชนไอออนหนักที่ เรียกว่า Relativistic Heavy Ion Collider ขึ้นมา เนื่องจากมีความกังวลว่า สสารที่มีความหนาแน่นอาจก่อรูปขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสมัยนั้นจัดว่าเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา

เพื่อให้ไอออนทองคำชนกันด้วยแรงมหาศาล ซึ่งอาจทำให้เกิดความหนาแน่นพอที่จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นมาได้จากพลังที่ดูด สสารข้างนอก ห้องแล็บบรูคทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่า เครื่องเร่งปฏิกิริยาตัวใหม่นี้จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นและทำให้โลกอวสานได้ หรือไม่

"เมื่อดูจากข้อมูลที่เราได้ศึกษา จากหลุมดำที่อยู่นอกอวกาศ เราได้ทำการคำนวณเพื่อศึกษาว่าเครื่องเร่งอนุภาคของบรูคเฮฟเวนจะสามารถทำให้ เกิดหลุมดำได้หรือไม่ ซึ่งเราค่อนข้างแน่ใจว่า การทดลองในห้องแล็บจะไม่ทำให้เกิดหลุมดำ และโลกจะไม่ถูกกลืนหายไปจากการชนของอนุภาคเหล่านี้

- โอกาสที่โลกจะถูกหลุมดำกลืนใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อยอย่างยิ่ง

- ระดับอันตราย : 10

6.7.53

positive thinking ...

คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝีกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นึ่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คื่อบทพิสูจน์สัจจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่ค้อวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
©2009 By Ideacom Creative 2008